"facebook-domain-verification" content="qrak1x88p9zbe381cfhnnrlfj3rq9v" />
Last updated: 2020-12-04 | 120 จำนวนผู้เข้าชม |
โควิดเริ่มแพร่กระจายอย่างเด่นชัดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 แต่นั่นแหล่ะครับ ด้วยความชะล่าใจของผมเอง แพลนการเดินทางเพื่อพาพนักงานไปเที่ยวในวันที่ 9 มีนาคม 2563 ก็ยังคงดำเนินต่อไป ผมมีร้านอาหารครับ และผลประกอบการในปี 2562 ถือว่าดีมาก และเราจะจัดท่องเที่ยวเป็นประจำทุกปี แต่ที่กล่าวมานี้มันคือความประมาท ที่ไม่เฝ้าระวังสถานการณ์ แต่กลับคิดว่า เอาหน่ะ นายกท่านก็บอกแล้วว่า "เอาอยู่" ยังไงเดี๋ยววัคซีนก็มา ประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศจีนเค้าเก่งมาก เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น
แต่ปล่าวเลยครับ พอเข้าเดือนมีนาคม ผลกระทบกับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ต่อเนื่องมาจนถึงเดือนพฤษภาคม ตัวผมเองมีงานประจำที่บริษัททัวร์แห่งหนึ่ง เป็นบริษัทในเครือญาติผู้เปรียบเสมือนแม่คนที่สามของผม (แม่คนที่สองคือพี่สาวที่ผมคลานตามออกมาครับ) แกก่อตั้งบริษัทตั้งแต่ปี 2545 ในฐานลูกค้าเดิมจากบริษัทแม่ ที่โอนถ่ายกิจการมาเป็นของแกเอง และผมเข้าไปทำงานกับแกตอนปี 2546 แน่นอนครับว่า โควิดส่งผลกระทบต่องานทัวร์โดยตรง และมันต้องหยุดชะงักลง ทำให้รายได้ประจำผมขาดแคลนไปส่วนหนึ่ง ประกอบกับกิจการร้านอาหารในช่วงเคอร์ฟิวส์ ผมต้องควักเนื้อจ่ายเป็นน้ำหล่อเลี้ยงพนักงาน 9 ชีวิตในร้านทุกเดือน เพราะเราก็ยังคงคิดว่า เดี๋ยวมันจะต้องดีขึ้น
จนกระทั่งเดือน กรกฎาคม 2563 ผมเห็นแล้วว่า สถานการณ์มันบานปลายเกินไป และทางออกสำหรับการทำมาหากินในทางที่เราถนัดก็น้อยลง ถามว่า ธุรกิจอาหารน่าจะไปได้ดีหรือเปล่าในช่วงสถานการณ์โควิดแบบนี้ ตอบตรง ๆ นะครับ ทุกคนที่ได้รับผลกระทบ ออกมาทำอาหารที่บ้านส่งเดลิเวอรี่กันแทบจะทั้งหมด พอส่วนแบ่งทางการตลาดเติบโตในระดับสูง ขณะที่ผู้บริโภคลดน้อยลง มีแต่พ่อค้าแม่ค้า แต่ลูกค้ากระจายไปหมด แน่นอนครับ ผลกำไรก็น้อยลงตามไปด้วย ยกเว้นนะครับ เหล่าแบรนด์ดัง ๆ ที่ยังคงจัดโปรโมชั่น รักษาสภาพคล่องให้กับกิจการไว้ได้ นั่นแหล่ะครับ ที่เค้าออกมาบอกว่า พลิกชีวิตมาทำเดลิเวอรี่แล้วรวยกว่าเดิม แต่สำหรับผมมันไม่ใช่เสียทีเดียว
จนกระทั่งผมมานั่งคิดว่า เรามีที่ ที่ลำปางอยู่ผืนนึง ที่ทุบประปุกซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2562 ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับว่า ชีวิตผมไม่ได้สุขสบายมาแต่เด็ก เราเกิดในครอบครัวที่สิ้นเนื้อประดาตัว เนื่องจากบิดา นำเงินไปรักษาโรคมะเร็งเต้านมให้มารดาจนหมดสิ้น มูลค่าการขายที่ดินของมารดา ก็ถูกลุงผู้ดูแลทรัพย์สินยักยอกไปจนหมด บิดาก็ไม่มีอะไรเหลือไว้ให้เป็นสมบัติ เราสองคนพี่น้อง (ผมและพี่สาว) ต้องต่อสู้หาเงิน หางานทำตั้งแต่วัยประถม เพื่อส่งเสียตัวเองเรียนจนจบมหาวิทยาลัย
พอคิดได้ดังนั้น ผมเลยขอทุน 1 ก้อน จากญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง โดยการการันตีว่า ณ วันหนึ่งผมจะสร้างตัวเองและดูแลท่านให้ได้ในยามที่ท่านต้องการ ท่านให้มา 3 แสนครับ โจทย์ของผมคือ ทำอย่างไรให้เงิน 3 แสน สามารถสร้างที่พักได้ สร้างที่ทำกินได้ และดูแลตนเองให้ได้ ผมเริ่มจากการวางแผนผังชีวิตว่า เราจะทำที่พักแบบไหน เราจะทำอาชีพอะไรในขณะที่เรามาอยู่ที่นี่ และการตัดสินใจก็มาหยุดอยู่ที่ว่า ผมจะทำบ้านพักหลังน้อย ๆ งบไม่เกินแสนห้า ส่วนที่เหลือจะปรับพื้นที่ในสวน และหน้าบ้านขอครัวใหญ่ ๆ เผื่อทำอาหารไปส่งขายในเมือง เพราะผมมีฝือมือด้านการต้ม เมนูตุ๋นต่าง ๆ รวมถึง "ขาหมูสามเซียน" ที่ขายดีอยู่แล้วที่เมืองนนท์ จึงคิดว่าจะทำข้าวขาหมูไปส่งตามโรงงาน และสถานที่ราชการต่าง ๆ
และเราจะมุ่งเน้นการปลูกพืชสวนครัวรั้วกินได้ เพื่อเก็บเกี่ยวมาทำอาหารขายหน้าบ้าน แล้วตัวผมเอง ก็มีงานในเรื่องของสื่อ และการทำคอนเทนซ์ลงโซเชี่ยลมีเดียอยู่บ้าง (เดิมทีตั้งใจจะทำนานแล้วครับ แต่ไม่มีเวลาจริง ๆ กลางวันต้องไปทำงานสะพานควาย เย็นต้องกลับมาที่ร้าน ก็ได้แค่เปิดเว็บไซต์ไว้แต่ไม่ได้อัพเดท เปิดเพจแต่ไม่ได้เขียนงานเท่าใด ทำยูทูปแต่ก็ไม่ได้ถ่ายเพิ่มเติม)
พอวางแผนได้ดังนี้ก็ลุยครับ ผมขึ้นมาลำปางวันที่ 5 กรกฎาคม 2563 ทีมช่างที่ว่าจ้างงาน คิดราคาค่าปลูกบ้านพักหลังเล็ก ๆ พร้อมกันสาด, เทปูนพื้นหน้าบ้าน และข้างบ้าน เพื่อที่ผมจะต่อทำเป็นครัวเปิด รวมกับค่าหินเทพื้นหน้าบ้านจนถึงประตูทางเข้า เป็นจำนวนเงิน 173,500.- บาท ผมขึ้นมากางเต้นท์นอนเพื่อที่จะทำงานอะไรบางอย่างที่สามารถทำได้ เช่น สั่งไม้ไผ่ สั่งหญ้าคา มาทำตูบเพิ่มเติม สำหรับรับแขกและให้ลูกค้าหน้าร้านนั่ง ทำรั้วไม้ง่าย ๆ แบบชั่วคราว ต่อไฟใช้ชั่วคราว ฯลฯ ซึ่งสามคืนแรกที่กางเต้นท์ ไม่มีไฟครับ การไฟฟ้าแจ้งว่าจะมาติดให้วันที่ 8 ก็ต้องรอไฟฟ้ากันไป
ช่างทำงานเร็วมากครับ แดดสลับกับสายฝน แต่ก็เสร็จสิ้นภายในเวลา 15 วัน ผมก็สามารถย้ายเข้าไปใต้ชายคาบ้านได้อย่างปลอดภัย
หลังจากปลูกบ้านหลังน้อยเสร็จ ก็เป็นหน้าที่ของผมกับทีมงาน (น้องแพน และป้าแก้ว) ที่ขึ้นมาพักอยู่ด้วยกัน เพราะงานครัวเราทำคนเดียวไม่ได้แน่นอนครับ เราก็ช่วยกันปรับพื้นที่ จัดเตรียมสถานที่ สั่งซุ้มไม้ไผ่เพิ่ม เพราะพอเราเริ่มเปิดหน้าบ้านในวันที่ 7 สิงหาคม 2563 ลูกค้าก็มาหลากหลายขึ้น เราทำการปลูกพืชสวนครัว ทำแปลงปลูกผักกางมุ้ง และอื่น ๆ อีกมากมาย จนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
เรียกได้ว่า โปรเจคลำปางที่ผมวางแผนไว้อีก 3-5 ปี รอให้ปลดหนี้ธนาคาร ไม่มีบัตรเครดิต ไม่มีภาระใด ๆ แล้วจะขึ้นมาอยู่ ก็ต้องมาอยู่แบบกระทันหัน และต้องทำต้องสร้างแบบเร่งด่วนขึ้นมา บอกตรง ๆ นะครับ จนถึงวันที่บันทึกบทความนี้ ผมยังเป็นห่วงตัวผมเองอยู่เลยว่า ผมจะไปรอดหรือเปล่า เพราะเอาตามความจริงแล้ว รายได้จากการขายอาหาร และทำงานในสวน มันคงเพียงพอแค่ค่าใช้จ่ายรายวัน กับค่าตอบแทนของลูกน้องเท่านั้น แต่ภาระหนี้ที่ผมหอบมาด้วยนี้หล่ะ ผมจะจัดการอย่างไร จะหารายได้อย่างไรเพิ่ม
พอคิดได้ดังนี้ ผมจึงลงมือทำงานอย่างจริงจังเพื่อสร้างรายได้ครับ และมิชชั่นนี้ต้องสำเร็จภายในสิ้นปีนี้ (วันนี้ที่บันทึก 4 ธันวาคม 2563) ผมเชื่อมั่นครับว่า ความขยัน อดทน และทำทุกช่องทางที่สร้างเงินโดยสุจริต ย่อมส่งผลดีต่อตัวผมแน่นอน
แล้วผมจะมาอัพเดทบ่อย ๆ นะครับว่า พวกเราทำอะไรกันไปถึงไหนแล้ว และฟาร์มสายฮีลแห่งนี้ จะมีสัตว์เลี้ยงชนิดใดเข้ามาให้พวกเราดูแล ขอบคุณครับ